iSTEE & Samong Framework เกิดมาเพื่อสิ่งใด ?

บริการ SaaS สมองออนไลน์

iSTEE & Samong Framework เกิดมาเพื่อสิ่งใด ?

ก่อนอื่นต้องให้เครดิตกับผู้สร้างภาพ Inforgraphic  ดังต่อไปนี้  ที่จะขออธิบายภาพด้วยข้อความสั้นใต้ภาพ  ก่อนที่จะสรุปในภาพรวมว่าทำไมต้องให้บทความนี้มีชื่อเรียกเช่นนี้  และต้องให้เครดิตสำหรับท่านที่พยายามแสวงหาภาพตัวแทนในจักรวาลแห่งนี้เพื่ออธิบายภาพแห่งอนาคตของ Digital Platform ที่มันควรจะเป็น  โดยไม่ได้เป็นการประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาเอง

เปิดเรื่องด้วยรูปนี้ว่า  มันคือ มิติของแพลตฟอร์ฒที่จะเชื่อมประสานอย่างน้อย 4 ส่วน คือ กลุ่มลูกค้า (Customers)  กลุ่มสิ่งของ (IOT Device)  ระบบ IT ดั้งเดิม  และสิ่งแวดล้อมต่าง  (Ecosystems)   โดยตัวเชื่อมที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้คือ  ระบบอัจฉริยะ

 

 

 

 

 

 

ในภาพที่ 2 นี้เป็นการมองในเรื่อง  แพลตฟอร์มของธุรกิจทางดิจิตอลว่า  แพลตฟอร์มของธุรกิจดิจิตอลที่ดีคือธุรกิจที่ประยุกต์เอาส่วนที่ดีที่สุดจากนวัตกรรมด้านต่าง ๆ

กล่าวคือ  Digital Platform ที่ดีเหมาะแก่การลงทุน  คือ  Platform ที่เป็นส่วนผสมระหว่าง  5 Platform คือ

  • Process Platforms  แพลตฟอร์มภาคการผลิตอุตสาหกรรม
  • Application Platforms  แพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่น
  • Internet of Things Platform แพลตฟอร์มการเชื่อมต่อ
  • Integration & Development Platform  แพลตฟอร์มการพัฒนาและวิจัย
  • Analytic & Cognitive Platforms  แพลตฟอร์มการวิเคราะห์และการบ่งชี้จดจำ

 

 

 

  ในอีกมุมมองหนึ่ง  ที่มองเชิงมิติลำดับชั้น  หรือจะเรียกว่า Digital Dimension หรือ มิติแห่งดิจิตอล  ว่าจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชั้น  คือ ชั้น นอกสุดเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพื่อดิจิตอล  หรือจะเรียกว่าปัจจัย  อันประกอบไปด้วย  รัฐบาล  ลูกค้า  การค้าปลีก  นักพัฒนา  ผู้สร้างเนื้อหาสื่อ  และองค์กรธุรกิจ

และชั้นในคือ ชั้นที่เรียกว่า  Digital Platform ที่จะต้องประกอบด้วยแอพพลิเคชั่นที่มีการบริการภายในของตนเอง  ในลักษณะของ Microservices  และการอาศัยและเชื่อมต่อกับงานพัฒนาจากนักพัฒนาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง

รวมกันเป็นระบบ Digital Dimension ที่เป็นอัจฉริยะสมบูรณ์

ที่มา : Peter-Service

 

 

 

 

 

รูปนี้  ถือ่าเป็นพระเอกของงานก็ว่าได้   ต้องชมว่าผู้สร้าง  มีความล้ำลึกมาก  ในการมองมิติตั้งแต่อดีต  ปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้  รูปนี่สามารถที่จะทะยอยตีความไปได้ทั้งแนวราบ  ที่ละชั้น  ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึง 4  คือ 4th Platform คือ แพลตฟอร์มคลื่นที่  4 หรือ 4th wave   และการตีความในแนวดิ่ง  อย่างที่ผมกำลังจะอธิบายต่อไป

เรามาลองย่อยภาพนี้ออกเป็นส่วน ๆ  ตามรูป

ภาพนี้เป็นการมองในแง่กายภาพของระบบคอมพิวเตอร์เทคโนโลยี  ที่เริ่มต้นด้วยการมีศูนย์กลางคอมพิวเตอร์  เหมือนที่เป็นอยู่ในอดีต   และเปลี่ยนไปเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบกระจายทั้งการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผล  ต่อมากลายเป็นชุมชนทางดิจิตอลในระดับสากลที่มีโมเดลทางธุรกิจในแบบผสม  และไปสู่  ชุมชนทางดิจิตอลที่กลายเป็นสถาบัน   โดยรวมในมุมมองนี้เห็นว่า  ในเชิงของที่ตั้งของเทคโนโลยีจะกลายไปสู่สถาบันของชุมชนแห่งดิจิตอล

 

 

 

 

 

 

 

 

  

ในภาพนี้มองในด้านผลลัพธ์ของกระบวนการในทุก ๆ กระบวนการ  ที่ยุคแรกจะมองกันในเรื่องประสิทธิภาพของระบบ  ที่ต่อมามองในเรื่องของการเพิ่มผลผลิตหรือการสร้างได้เร็ว  ต่อมาก็เป็นเรื่องของการจัดการความรู้แบบ Realtime และการวิเคราะห์ข้อมูล  และบนสุดคือการมองเรื่องการสร้างแอพพลิเคชั่นในแบบชิ้นส่วนที่จะหยิบมาประกอบกันได้เป็นระบบๆ เฉพาะงานได้ทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ต่อมาเป็นมุมมองในแง่ของการใช้ประโยชน์  ที่ก่อนหน้าจะใช้ในเรื่องของ Automation  คลี่คลายไปสู่เรื่องของการแบ่งปัน  การทำงานร่วมกัน  และการรวบรวมองค์ประกอบไอทีเขาด้วยกัน  จนอนาคตจะเป็นรูปแบบของการการให้บริการด้าน IT ที่มีความพัฒนาเปลี่ยนแปลงเชิงรูปแบบอย่างต่อเนื่อง  มีการแบ่งปันมุมมอง และเกิดสภาวะของสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้

 

 

 

 

 

 

 

 ในภาพนี้เป็นส่วนกลางของภาพที่ให้คำสรุปสภาวะสิ่งแวดล้อมในการใช้งานเทคโนโลยีว่าเป็นอย่างไร  กล่าวคือ

  • เป็นแค่การประมวลผล  หรือ Computing ในแบบ Standalone ที่มีแอพพลิเคชั่น รันบนเครื่อง ๆ เดียว
  • ต่อมาเน้นการใช้ประโยชน์เป็นเครือข่าย  ที่เริ่มมีการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ผ่านทางสายและการ์ดเครือข่าย
  • เริ่มเกิดแอพพลิเคชั่นในลักษณะที่มีการเชื่อมต่อระหว่างข้อมูล  การเชื่อมต่อกับบุคคล  ด้วยความสามารถของ Cloud computing
  • และสุดยอดที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้คือ  การเชื่อมต่อแบบทุกช่องทางของผู้คน  ของระบบอัจฉริยะและกิจกรรมต่าง ๆ  ที่อาจจะเรียกว่า  สภาวะสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ หรือ Smart ที่เรียกกันจนติดปาก  ที่มีการเชื่อมต่อกันของอุปกรณ์  มีความอัจฉริยะของเครื่องที่เรียนรู้ด้วยตนเองไปจนถึงระบบที่เครื่องเรียนรู้จากคนในแบบของ AI

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี่ด้านซ้ายของภาพ  เป็นการมองกันในแง่ของจำนวนของอุปกรณ์  ที่เริ่มจากระบบที่มีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว  ไปจนกระทั่งเป็นระบบที่มีอุปกรณ์นับพันๆ ล้านชิ้นต่อถึงกัน

และเกิดคำถามว่า  ระบบอัจฉริยะส่วนกลางนั้น  จะเกิดขึ้น  หรือถูกพัฒนาให้เกิดผลลัพธ์ที่ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพและเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ได้อย่างไร

ภาพนี้เป็นเพียงภาพเดียวที่ทีมงานเราดัดแปลงแก้ไขเล็กน้อยในบริเวณส่วนกลาง  ว่าเราจะแทนที่มันด้วยระบบที่เราเรียกว่า Samong Platform  ที่ประกอบด้วย iSTEE Middleware และ Samong Platform  ที่มีความสามารถครบถ้วนเพียงพอทีจะสร้างเป็นระบบอัจฉริยะเกิดขึ้นได้จริง ๆ  โดยกลไกสำคัญคือ  ความสามารถในการสร้างระบบที่ต้องมีบริการย่อย ๆ จำนวนมากที่เรียกว่า Microservices  ที่ต้องมีการพัฒนาด้วยแนวคิดเชิงวัตถุที่ล้ำลึกจริง ๆ 

แทบจะกล่าวได้ว่า  iSTEE  ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้จริง ๆ  โดย i  ในส่วนหน้าของ iSTEE หมายถึง Intelligence  คือ  อัจฉริยะปัญญา  ปัญญาที่เกิดจากปัญญาแห่งการใช้สติตรึกตรอง  วิจัยค้นคว้า  พยายาม  จนสามารถที่จะค้นพบเครื่องมือ  ที่นำไปสู่สภาวะอัจฉริยะขึ้นมา

จึงไม่ได้เป็นเรื่องราวของความบังเอิญที่สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น

 

 

 

 

 

แต่จะหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลยหาก  iSTEE ไม่ได้ถูกนำไปใช้ หรือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมใดๆ ได้

 

ในภาพนี้  คือ มิติของเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะมาถึงในปี 2017  ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว  และก็เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นจริง ๆ 

โดยเทคโนโลยีที่จะอยู่ในกลุ่ม  Disruptive & Strategic ที่เรียกว่า  เป็นการปฏิวัติเชิงกลยุทธ์เลยคือ  เทคโนโลยีเรื่อง ดังต่อไปนั้

  • การเปิดเชื่อมต่อ API  การเกิดขึ้นของธุรกิจทางสังคม
  • และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  คือ 
  • การเชื่อมต่อของสิ่งต่างๆ ผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสาร
  • การพัฒนาของวิทยาศาสตร์ข้อมูล  และ Big Data
  • การเรียนรู้ด้วยตนเองของเครื่องและ AI
  • การเกิดและการใช้งาน Blockchain  และสภาวะเศรษฐกิจในแบบการพึ่งพา  การได้ประโยชน์ร่วมกัน  
  • จะเห็นว่า  ขวาสุดตกขอบในแง่ของการปฏิวัติเทคโนโลยีคือเรื่อง Blockchain
  • และเหนือสุดเลยเมฆ และชิดขอบฟ้า  คือ  เรื่อง  สิ่งแวดล้อมธุรกิจสังคมที่พึ่งพากัน  ได้ประโยชน์ร่วมกัน  ที่มันดูอนิจจังจริง ๆ ว่า  มนุษย์โลก  สัตว์โลกต่างต้องพึ่งพากัน  คือ จุดสมดุลที่สุด  ดีที่สุด

 

นอกจากนี้  ยังจะได้เห็นเทคโนโลยีสำคัญ ๆ ต่าง จะทะยอยพัฒนาขนานกันไปตามเส้นทาง ดังแสดงในส่วน Horizon ของแผนภาพ

ทำไม iSTEE จึงเรียกตัวเองว่าคืออัจฉริยะที่จะยืนเป็นสูนย์กลางของสภาวะทางเทคโนโลยี

  • เพราะ  iSTEE มีการออกแบบในการทำงานในแบบ Microservices ที่มีฐานข้อมูลแบบกระจายส่วนที่มีความปลอดภัยสูงของแต่ละก้อนข้อมูล 
  • เพราะ iSTEE มีการออกแบบรองรับโครงสร้างการใช้ Blockchain
  • เพราะ iSTEE มีจุดเด่นในการสร้างการบริการแบบ SaaS  ที่จะเป็นการใช้งานร่วมกัน  ได้ประโยชน์สูงสุดร่วมกัน
  • iSTEE  จึงเป็นเทคโนโลยี  ในชั้นกลยุทธ์ชิดขอบขวาและขอบฟ้า  ภายใต้กรอบแนวคิด Samong is the Digital Brain
  • iSTEE จะกอบกู้  SME  ที่เป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย  ด้วยการสร้างโซลูชั่นที่ตอบโจทย์  สิ่งนั้นคือ …. Samong SaaS , SME Rescue
  • iSTEE & Samong Platform เป็นแพลตฟอร์มที่เกิดมาด้วยความเข้าใจถึงปัญหาของสังคม 
  • Samong Platform จึงจะเป็นเครื่องมือที่จะปกป้องและเข้าใจคุณ

ขอขอบคุณภาพ  จาก Internet

5260total visits,1visits today

ใส่ความเห็น