Roadmap to startup ตอนที่ 1 (ฉบับร่าง ฯ)
ผมเขียนบันทึกนี้ ขึ้นจากประสบการณ์การคลุกคลีกับ ค่าย Workshop StartUp 2 กลุ่ม ทั้งสองกลุ่มเรียกว่าอยู่ในขั้น Pre-Accelator ที่แปลว่า สตาร์ทอัพชั้นประถม ประมาณนั้น ที่ผมเองรับไม่ได้ เพราะว่าเราแก่แล้ว และคิดว่าเราน่าจะรู้ดี จะมาเรียกประถม ปฐม ได้อย่างไร
แต่เอาเหอะ ประถมก็ประถม อยากรู้มันก็ต้องลอง
ผมแบ่งถารถ่ายทอดเรื่องราวออกเป็น 3 ตอนนะครับ
- บรรยากาศรวมๆ จาก หลายค่ายรวมกัน
- ส่วนวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสตาร์ทอัพ
- Pitching นั้นสำคัญอย่างไร และเทคสิคการจัดทำ Pitch Deck
- Pitching Demo Day
ขอเล่าบรรยากาศรวมๆ จาก 2 ค่ายก่อนละกันครับ แต่ก่อนอื่นขอบอกว่า เรื่อง นี้เป็นการประเมินส่วนตัว ที่เกิดจากการสังเกตและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ที่เข้าร่วมโครงการ และเป็นเรื่องราวที่ไม่อยากจะให้ร้ายผู้ใด แต่กลับอยากให้เรื่องนี้เป็นประโยชน์กับผู้อ่านของ เวบ สมอง (ไทยแลนด์) ของเรา
ปฐมบท : อารมณ์ไหน จึงสมัครเข้าร่วมโครงการ Start Up และเข้าร่วมกับโครงการไหนบ้าง
อารมณ์แรกที่มาของการเข้าร่วม คือ ความอยากรู้ว่าบนเส้นทางสายนี้จะเป็นอย่างไร และสองยอมรับว่า เราน่าจะมีโอกาสพบกับแหล่งทุน สำหรับการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ของเราที่ต้องการทุนไม่น้อยกว่า 30 ล้่านบาท
ค่ายแรกที่เข้าร่วม คือ Disrupt Skillane 101 ที่เป็นหลักสูตรออนไลน์ ศึกษาเทคนิคกระบวนการว่าด้วยสตารทอัพที่ดำเนินการสอนโดย คนดังแห่งวงการสตารทอัพไทยและในหลักสูตรนี้เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อหลักสูตรได้เข้าร่วม workshop ได้พบปะกับเหล่าเพื่อนฝูง และปะทะไหล่กับ คนดังในแวดวง
ก่อน การเข้าร่วมหลักสูตร ยอมรับว่า เข้าใจสตาร์ทอัพในแบบที่เขาว่านั้นน้อยมาก ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนการเข้าอบรมประมาณ 2 สัปดาห์ กระผมก็ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเฟสบุคของผู้สมัครเรียนทั้งหมด และได้เริ่มทักทายกับทุกคน ก็มีตอบรับเป็นเพื่อนบ้าง ไม่ตอบรับบ้าง ก็ไม่ว่ากระไร ว่าไปเหมือนตั้งหาเสียงไว้ล่วงหน้า เพราะรู้ว่าจะมีการโหวตไอเดียในรอบแรกโดยกลุ่มผู้เข้า workdhop (และขอบอกว่า ในวันที่ workshop นั้นการหาเสียงของผม ใช้การได้ดี คือ ผมได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากคนที่รู้จักพูดคุยกันถูกคอ ก่อนการเข้าร่วมงาน ฯ )
ระหว่าง การฟังเนื้อหาจากวิดีโอออนไลน์ ตื่นเต้นมาก มีเรื่องใหม่และบรรยากาศร้าวใจ มองเห็นโอกาส และโลกสวย และคิดว่าเราน่าจะทำได้ดี ได้ฟังเทคนิคต่างๆ พอสมควร แต่ยังไม่เน้น กะเอาไว้มาทำ workshop แล้วค่อยตั้งใจเรียนอีกที ส่วนเทคนิคอะไรอย่างไร เอาไง้สรุปในตอนท้ายนะครับ
ระหว่าง การทำ workshop สองวัน ผมได้สัมผัสและพูดคนกับ StartUp จำนวนมาก ได้เห้นสายตาแห่งความหวัง สายตาการค้นหา สายตาคำถาม ก็เหมือนๆ ผมเองนะแหละที่ส่งสัญญาณสายตาแบบนั้น เราได้สัมผัสกับ StartUp ที่ว่ากันว่าเขาประสบความสำเร็จแล้ว ได้ขยายกิจการแล้วสมใจ ได้รับคำแนะนำจากพวกเขาเหล่านั้นดีพอสมควร ได้รับฟังคำวิจารณ์พอสมควร
ในค่ายนี้ ใช้เวลา 2 วัน วันแรกฟังบรรยายและซักซ้อมเรื่องเทคนิคต่างๆ และ บ่ายของวันแรกได้มีการประกวดนำเสนอไอเดีย คนละ 3 นาที โดยมีผู้เข้าร่วม 34 ไอเดีย ยอมรับว่าลุ้นและกังวลมากว่าเราจะผ่านรอบนี้ไปได้หรือไม่ และหากผ่าน จะไม่กังวลกับการนำเสนอ 8 นาทีในวันที่ 2 เลยว่าผลจะออกมาอย่างไร มีคนเข้าร่วงานนี้ราว 80 คน มีคนขึ้นประกวด 34 คน แปลว่าจะมีคนโหวตแค่ 50 คน โหวตให้กับ 34 คนและคัดออกมา 10 ทีม แปลว่าหากทีมไนได้รับการโหวตอย่างน้อย 5 ก็จะได้ผ่านเข้าไปรอบต่อไป
ทายสิครับ ผมได้กี่โหวต 3 โหวตครับ รวมกับของตังเอง แต่ผ่านเข้ารอบ เพราะมีบางไอเดียมีการโหวตด้วยจำนวนคะแนนสูงมาก คือ มากกว่า 5 ซึ่งผมมารู้ในภายหลังว่า มันน่ามีการเมืองด้วย แต่เอาเหอะ ถือว่าเราไม่ได้ใช้การเมือง แต่ใช้การนำเสนอ บวกกับการสร้างมิตรออนไลน์ก่อนการสัมมนาเล็กน้อย
จากนั้น ก็มีการปรับกลุ่มมนำเอาคนที่ไม่ผ่านรอบนี้ มารวมกับหลายทีม คราวนี้ ก็มีคนเดินมาหาเรา เพิ่มอีก 5 คนจนครบ และคนที่เดินมาก็ยอมรับว่า จริงๆ ก็ชอบไอเดียเราเช่นกัน แต่ก็โหวตใครไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นผู้แข่งขันด้วย และผมเห็นสายตาของผู้ที่ไม่ผ่านการโหวตนั้น รู้สึกได้ว่ามันโหดร้ายขนาดไหน และผมไม่อยากอยู่ในสถานการณ์นั้นเช่นกัน สถานการณ์ผู้ตกรอบแรก
มันเหมือนประกวดนางงามนะ คือ ไอเดียถูกใจ หรือ หล่อ หรือ สวยนี่ก็ได้รับการโหวตได้ด้วย คือจะบอกว่า มันมีเรื่องแบบนี้จริง ๆ ในวงการนี้ด้วยและต่อจากนั้นเราก็มาทำ Workshop ร่วมกัน
การเตรียมการเรื่องสไลด์ในคิืนนั้น ผมต้องแหกโผการทำสไลด์มาอยู่ในจุดยืนจริงๆ ของเรา ขอย้ำว่าตรวนี้สำคัญ คือต้องการฉายตัวตนตามวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วม และเพื่อการเผยแพร่ชื่อสมองไทยแลนด์ ให้เป็นที่รู้จัก
และหลังจากการสัมมนา ขอบอกครับว่า ผมได้ยินคำว่ารู้สึกผิดหวัง หมดหวังกับการได้รับการสนับสนุนในไอเดีย บางท่านต้องถึงกับบ่นว่า คนที่บ้านผมไม่มีใครรับไอเดียเขาได้เลย แต่เขาหลายนั้นก็ดีใจว่าอย่างน้อง ก็ได้มาเจอบางคนที่เข้าใจและรับฟังไอเดียกัน และกลายเป็นกัลยาณมิตรกันได้ในระเวลาไม่กี่ชั่วโมงใน 2 วันนั้น
สำหรับผมเอง มีทั้งความรู้สึกว่าดี ได้ประสบการณ์ได้เห็นสิ่งที่ควรจะทำ และสิ่งที่ตัวเองต้องแก้ไข หากยังอยากจะเดินบนเส้นทางนี้ และอีกความรู้สึกหนึ่งที่ประมวลจากนิยาม การปฏิบัติ และสถานการณ์ทั้งหมดว่า แนวคิดการปั้น การเลือกสตาร์ทอัพด้วยวิธีการใน 2 วันแบบนี้ กลับกลายจะเป็นการทำลาย Start Up เสียมากกว่า
ความคิดผมจะถูกหรือผิดอย่างไร ? รอมายืนยันกันในตอนต่อไปนะครับ
ยังไม่จบบรรยากาศจากอีกค่ายเลยแต่เรื่องยาวมากแล้ว ก็พักไว้ก่อน แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ
ราตรสวัสดิ์
3665total visits,8visits today